คอลัมน์ “เสพสม”

เสพสมบ่มิสม วันที่ 5 ธันวาคม 2563

โรคไพรอะพริส์ม (Priapism) เป็นภาวะที่องคชาตมีการแข็งตัวเต็มที่นานต่อเนื่องมากกว่า 4 ชั่วโมง โดยเกิดจากยากินและยาฉีด โดยจะเกิดผลกระทบที่กล้ามเนื้อเพศ 2 มัดบน ชื่อคอร์ปัสคาร์เวอร์โนซัม ภาวะโด่ไม่รู้ล้มนี้เกิดได้ 2 แบบคือ

แบบที่ 1 เป็นการแข็งตัวขององคชาตที่คงอยู่ต่อเนื่องโดยเกิดจากการกินยาเฉพาะกิจในบางคนแต่ที่พบมากคือฉีดยาก่อนมีเพศสัมพันธ์โดยฉีดจำนวนมากเกินไปจากที่แพทย์ควบคุมแนะนำ เลือดที่ไหลเข้าสู่องคชาตมีจำนวนมาก ภาวะโด่ไม่รู้ล้มแบบนี้ เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันทีทันใด ผู้ชายที่เป็นภาวะนี้จะเกิดการแข็งตัวค้างขององคชาตและเจ็บปวดที่มีการเกิดซ้ำโดยมีช่วงที่อ่อนตัวแทรก การเกิดซ้ำหลายครั้งนี้จึงต้องมีการเข้ารับการรักษาฉุกเฉินหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดพังผืดหากมีการแข็งตัวนานและไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว

ปกติหลังฉีดยาเฉพาะกิจแพทย์จะมียาคู่มือ 4 ชุด ถ้าหลังฉีดแล้วแข็งนานเกิน 2 ชั่วโมงก็ต้องแก้ไขเองได้ โดยกินยาคู่มือที่ให้ทุกชั่วโมงต่อ 1 ชุด การแข็งตัวมาก ๆ ที่ลดลงจนสู่สภาพเดิม เวลาตกใจคนไข้ลืมไปว่ามียาคู่มือกินให้อ่อนตัว และคนไข้มักจะลืมถึงคำแนะนำของแพทย์ที่ให้ใช้ยาฉีดจำนวนเท่าที่จำเป็น ส่วนมากเป็นเพราะฝ่ายหญิงมีเสน่ห์มากจึงต้องการเอาใจให้มีความสุขมาก ให้มีเวลาอยู่กันนาน ๆ จึงมักจะเกิดอาการโด่ไม่รู้ล้ม ดังนั้นถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ก็จะปลอดภัย มีความสุขทั้ง 2 ฝ่าย

แบบที่ 2 เป็นภาวะองคชาตแข็งตัวค้างที่ไม่เกี่ยวข้องทางเพศที่เกิดจากการไหลเข้าของเลือดสู่องคชาตที่ผิดปกติ โดยทั่วไปกล้ามเนื้อคอร์ปัสคาร์เวอร์โนซัมจะไม่ได้แข็งตัวเต็มที่หรือเจ็บปวด ภาวะโด่ไม่รู้ล้มแบบนี้ ไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินเพราะกล้ามเนื้อเพศได้รับออกซิเจนเพียงพอและการแข็งตัวที่เกิดขึ้นไม่เจ็บปวด เกิดจากโรคเลือดจางผิดปกติเป็นโรคเฉพาะตัว (Sickle cell anemia)

ปัจจุบันพบว่า ยายับยั้งเอนไซม์พีดีอี 5 หรือที่เรียกว่ายาเฉพาะกิจมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไพรอะพริส์มแต่อัตราการเกิดนั้นน้อยมากเฉพาะบางรายเท่านั้นที่ไม่ได้ปรึกษาแพทย์แล้วซื้อกินเองมากเกินไป (Over dose) ดังนั้นการใช้ยาช่วยการแข็งตัวที่ปลอดภัย บางคนถึงแก่ชีวิตเส้นโลหิตสมองแตก ที่สุดคือต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ ไม่ควรทำตัวเป็นหนูลองยาซื้อยามากินเอง วินิจฉัยโรคเอง อันตรายมาก แม้ว่าอัตราการเกิดจะต่ำก็ตามแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดขึ้น พบแพทย์ก่อนใช้ยาให้แยกโรคเฉพาะตัวที่อันตรายจากการใช้ยาชนิดไหนว่าได้มากน้อยแค่ไหนก็จะปลอดภัย.