คอลัมน์ “เสพสม”
เสพสมบ่มิสม วันที่ 27 ธันวาคม 2563
เรียน คุณหมอ ดร.โอ สุขุมวิท 51 ที่นับถือ
ผมอายุ 68 ปี เป็นข้าราชการบำนาญ สุขภาพร่างกายทั่วไปแข็งแรงปกติดี ก่อนหน้าที่ผมจะมีนิสัยชอบดื่มสุรา และสูบบุหรี่บ้างแต่ไม่มากนัก มาถึงวันนี้ผมเลิกทั้งสุราและบุหรี่มาได้กว่า 5 ปีแล้ว ภรรยาวัย 60 ปี เพิ่งเกษียณอายุราชการจึงมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เรื่องทางเพศยังมีความต้องการกันทั้งคู่ ผมเริ่มมีอาการผิดปกติทางเพศมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ อวัยวะสำคัญไม่ค่อยแข็งตัว บางครั้งก็แข็งตัวมีความสุขได้บ้าง ทำให้ร่วมเพศไม่ได้ ก่อให้เกิดปัญหาให้กับทั้งผมและภรรยาเป็นอย่างมาก ผมติดตามอ่านการตอบปัญหาให้ความรู้ของคุณหมอเกี่ยวกับเรื่องยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ ที่ช่วยเสริมความสุขทางเพศ ซึ่งผมสนใจมาก ขอรับคำแนะนำเกี่ยวกับตัวยาดังกล่าว และตัวผมสามารถใช้ได้หรือไม่อย่างไรครับ
ด้วยความนับถือ
มิตร 68
ตอบ มิตร 68
ชายวัยเกษียณอายุราชการวัย 68 ปี มีการแข็งตัวขององคชาตลดลงไม่เพียงพอต่อการสอดใส่ได้จึงทำให้ไม่สามารถร่วมเพศกับภรรยาวัย 60 ปีได้ จึงทำให้คู่สามีภรรยาขาดความสุขทางเพศไปเป็นอย่างมากทั้ง ๆ ที่ยังมีความต้องการทางเพศอยู่ อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่เกิดกับฝ่ายชายหากไม่รีบแก้ไขก็อาจทำให้เกิดปัญหาหย่าร้างตามมาได้ เพราะความอดทนทางเพศมีขอบเขตจำกัด นี่ก็ 3 ปีมาแล้วที่ฝ่ายชายอ่อนแอ ชายที่รักภรรยาตัวเองและอยากให้ความสุขแก่ภรรยาได้ทุกเวลานั้นเมื่อเกิดอาการอีดีชายกลุ่มนี้ชักช้าแบบนี้น่าถูกตำหนิมากต้องพบแพทย์อย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้บกพร่องต่อหน้าที่ของสามีที่ดี และไม่ถูกภรรยาทิ้งไป แต่ชายอีดีอีกกลุ่มซึ่งพบได้บ่อยพอมีปัญหาก็ไม่ยอมพบแพทย์เพื่อฟื้นฟู ชอบซื้อยาส่งไปทานทั้ง ๆ ที่ยังไม่ผ่านการตรวจร่างกายจากแพทย์ก่อน ถือเป็นความคิดที่ผิดไม่รักตัวเอง การรักษาอาการที่เกิดขึ้นนั้นถือเป็นการค้นหาโรคที่แอบซ่อนอยู่ในร่างกายเพราะหากร่างกายไม่มีจุดบกพร่องอาการอีดีก็ไม่เกิด
ฉะนั้นเมื่อมีอาการอีดีก็ย่อมเป็นสัญญาณเตือนภัยให้ทราบแล้วว่าในระบบใดระบบหนึ่งในร่างกายเกิดความผิดปกติขึ้น ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ตรวจหาโรคพร้อมกับวินิจฉัยและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคนไข้มากที่สุด ดังนั้นการจัดส่งยาไปให้โดยที่ไม่ผ่านการตรวจร่างกายของแพทย์จึงไม่ใช่แนวทางการรักษาอาการอีดีที่ถูกต้อง การรักษาอาการอีดีด้วยยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ แม้จะเป็นอีกแนวทางในการรักษาโรคอีดีก็ตาม แต่การใช้ยากลุ่มนี้ก็มีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ในกลุ่มคนไข้โรคหัวใจที่มีการใช้ยากลุ่มไนเตรทร่วมด้วยจะเกิดอาการวูบล้มฟาดได้ การออกฤทธิ์ของยาทั้งสองชนิดจะไปเสริมฤทธิ์กันทำให้เกิดภาวะความดันเลือดต่ำจนเกิดภาวะช็อกหมดสติ ดังนั้นก่อนการใช้ยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ แพทย์จะต้องตรวจภายในอวัยวะผู้ชายและซักประวัติของคนไข้ให้แน่ใจก่อนว่าคนไข้ไม่มีภาวะโรคหัวใจ เช่น หากมีโรคหัวใจจะต้องขอรายละเอียดการใช้ยาร่วมด้วย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจหาค่าที่บ่งบอกภาวะหัวใจล้มเหลวเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
การรักษาอาการอีดีมีหลายวิธีที่ไม่ต้องพึ่งการใช้ยา เช่น การเรียนการบริหารกล้ามเนื้อเพศจากผู้เชี่ยวชาญให้เกิดความชำนาญให้แข็งตัวร่วมได้ 30 นาทีทุกครั้งโดยไม่ใช้ยาก็สามารถนำเทคนิคนี้กลับไปใช้เองที่บ้านได้อย่างสบายใจ แต่อย่างไรก็ตาม การประเมินระดับอาการอีดีของคนไข้นั้นสำคัญมากเพราะมีผลต่อการเลือกวิธีการรักษา ดังนั้น ผู้ที่มีอาการอีดีจึงควรรีบมาฟื้นฟูกับแพทย์ด้วยตัวเอง สละเวลามารักษาเพียง 1 ชม.แล้วไม่ถูกภรรยาทอดทิ้ง นอกใจ ไม่คุ้มค่ากว่าหรือ หลายคนกลัว-ใจเย็นไม่เข้าท่า.
-------------------------
ดร.โอ สุขุมวิท51....
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-
หนุ่มใหญ่สงสัย! ใช้ยาเฉพาะกิจร่วมกับฮอร์โมนเพศ กู้เจ้าโลกไม่เเข็งได้ไหม? ป่วยความดันสูง เบาหวาน การรักษาอาการดังกล่าวร่วมกับยาเฉพาะกิจ จะเกิดอันตรายอย่างใดหรือไม่ หากมีจะมีทางเลี่ยงอย่างไรบ้าง?
-
หนุ่มใหญ่สุดทุกข์! ฮอร์โมนลด-ไขมันสูง ทำน้องชายไม่ค่อยสู้
-
ไม่เคยเสร็จเลย! ภรรยา 41 กลุ้มใจ! สามีหลั่งเร็วไป จนไม่เคยถึงจุดสุดยอด