คอลัมน์ “เสพสม”

เสพสมบ่มิสม วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564

ปัจจุบันพบชายที่เป็นโรคอีดีและได้รับการรักษา ด้วยกลุ่มพีดีอี5ไอ มาตลอด ช่วงแรกได้ผลดีสามารถ แข็งตัวได้เต็มที่ แต่มาระยะหลังพบว่าการแข็งตัวช้า และแข็งตัวแบบนิ่ม ไม่เต็มที่ นั่นแสดงให้เห็นถึงอาการดื้อต่อยากลุ่ม พีดีอี5ไอ ซึ่งการจัดการกับคนไข้ที่ไม่ตอบสนองต่อยากลุ่มนี้ คือ เปลี่ยนยาพีดีอี5ไอ เมื่อเทียบกับยาซิลเดนาฟิล และ วาร์เดนาฟิล แล้ว ยาทาดาลาฟิลจะมีค่าครึ่งชีวิตในการกำจัด ยาออกจากร่างกายที่ยาวนานกว่าจึงสามารถมีการร่วมเพศที่ยืดหยุ่นด้านเวลามากกว่า ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับคนไข้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาพีดีอี5ไอ ชนิดอื่นที่มีฤทธิ์สั้น

การใช้ยาพีดีอี5ไอ ทุกวันหรือต่อเนื่อง ทำให้ระดับความเข้มข้นของซีจีเอ็มพี (cGMP) ในเลือดสูงอยู่เสมอจึงมีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในกิจกรรมทางเพศสูงกว่า และช่วยให้ชายที่มีปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจมีการทำหน้าที่ของเซลล์บุผนังหลอดเลือดที่ดีขึ้นด้วย

การปรึกษาจิตวิทยาทางเพศ การจ่ายยาพีดีอี5ไอ เป็นการรักษาปัญหาอีดีที่ซับซ้อนเพียงส่วนหนึ่ง การให้คำปรึกษาและตรวจติดตามคนไข้มีความจำเป็นอย่างมากในการเอาชนะปัญหาด้านจิตใจและปัญหาที่เกี่ยวกับคู่ครอง การให้คำปรึกษาควบคู่กับการใช้ยา จะได้ผลการรักษาที่ดีกว่าวิธีใดเพียงวิธีเดียว

ด้านจิตใจ มีตัวอย่างคนไข้วัย 30 ปี แต่งงานกับภรรยาสาววัย 26 ปี มา 7 เดือน มีความเหมาะสมด้านความสวยความหล่อ ความแข็งแรงทางกล้ามเนื้อทุกระบบ เช่นกล้ามเนื้อเพศ ปกติไม่มีก้อน กล้ามเนื้อแขนยกน้ำหนักได้เต็มที่ กล้ามเนื้อขาแข็งแรงโดยเข่าขยับได้ทุกครั้ง ตัวอย่างเปรียบเช่นความแข็งแรงเตะฟุตบอล เล่นกอล์ฟได้ 18 หลุม หัวใจปกติไม่เหนื่อยง่าย เมื่อกายภาพส่วนสำคัญด้านเพศปกติ แต่ไม่มีการร่วมเพศมา 7 เดือน คือ ไปฮันนีมูนยุโรป 10 วัน ก็มีอาการล้มเหลว
จึงเป็นปัญหาอย่างรุนแรงและก็พยายามอีก 6 เดือนต่อมา เคยกินยาเฉพาะกิจซื้อเองบ่อย ๆ ก็ล้มเหลว จึงเป็นการยืนยันว่ายาเฉพาะกิจจะไม่ได้ผลหากด้านจิตใจไม่พร้อม ต้องรักษาทางจิตใจและการรักษามีมุมหันไปทางบังคับจิตใจและกล้ามเนื้อเบื้องต้นให้เคยชินกับการสอดใส่ให้ได้แล้วยาถึงจะได้ผล

ดังนั้นยาจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาโรคทางเพศสัมพันธ์ หากฝ่ายชายพร้อมมากกว่านี้โดยออกกำลังกล้ามเนื้อเพศสม่ำเสมอก็จะแข็งแรงทุกครั้งที่ต้องการใช้ได้ แน่นอนกว่าทานยาอย่างเดียว.

................
ดร.อุ๋มอิ๋ม...