คอลัมน์ “เสพสม”

เสพสมบ่มิสม วันที่ 8 พฤษภาคม 2564

ปัจจุบันพบชายที่เป็นโรคอีดีและได้รับการรักษาด้วยยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ มาตลอด ช่วงแรกได้ผลดีสามารถแข็งตัวได้เต็มที่ แต่มาระยะหลังพบว่าการแข็งตัวช้าและแข็งตัวแบบนิ่มไม่เต็มที่ นั่นแสดงให้เห็นถึงอาการดื้อต่อยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ ซึ่งการจัดการกับคนไข้ที่ไม่ตอบสนองต่อยากลุ่มนี้ คือเปลี่ยนยาพีดีอี 5 ไอ เมื่อเทียบกับยาซิลเดนาฟิล และวาร์เดนาฟิลแล้ว ยาทาดาลาฟิลจะมีค่าครึ่งชีวิตในการกำจัดยาออกจากร่างกายที่ยาวนานกว่าจึงสามารถมีการร่วมเพศที่ยืดหยุ่นด้านเวลามากกว่า

ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับคนไข้ที่ไม่ตอบสนองต่อยาพีดีอี 5 ไอ ชนิดอื่นที่มีฤทธิ์สั้น ความแรงหนึ่งส่วน (Low dose) การใช้ยาพีดีอี 5 ไอ ทุกวันหรือต่อเนื่องทำให้ระดับความเข้มข้นของซีจีเอ็มพี (cGMP) ในเลือดสูงอยู่เสมอจึงมีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในกิจกรรมทางเพศสูงกว่า และช่วยให้ชายที่มีปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจมีการทำหน้าที่ของเซลล์บุผนังหลอดเลือดที่ดีขึ้นด้วย

ด้านจิตใจมีตัวอย่างคนไข้วัย 30 ปี แต่งงานกับภรรยาสาววัย 26 ปี มา 7 เดือน มีความเหมาะสมด้านความสวยความหล่อ ความแข็งแรงทางกล้ามเนื้อทุกระบบ เช่น กล้ามเนื้อเพศ ปกติกล้ามเนื้อแขนยกน้ำหนักได้เต็มที่ กล้ามเนื้อขาแข็งแรง โดยเข่าขยับได้ทุกครั้ง ความแข็งแรงเตะฟุตบอล เล่นกอล์ฟได้ 18 หลุม หัวใจปกติไม่เหนื่อยง่าย เมื่อกายภาพส่วนสำคัญด้านเพศปกติ แต่ไม่มีการร่วมเพศมา 7 เดือน คือ ไปฮันนีมูนยุโรป 10 วัน ก็มีอาการล้มเหลว จึงเป็นปัญหาอย่างรุนแรงและพยายามอีก 6 เดือนต่อมา เคยกินยาเฉพาะกิจซื้อเองบ่อย ๆ ก็ล้มเหลว

จึงเป็นการยืนยันว่ายาเฉพาะกิจจะไม่ได้ผลหากด้านจิตใจไม่พร้อม ต้องรักษาทางจิตใจและการรักษามีมุมหันไปทางบังคับจิตใจและกล้ามเนื้อเบื้องต้นให้เคยชินกับการสอดใส่ให้ได้แล้วยาถึงจะได้ผล ดังนั้นยาจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาโรคทางเพศสัมพันธ์.

-------------
ดร.อุ๋มอิ๋ม